W3 Total Cache เป็นปลั๊กอินสำหรับระบบจัดเก็บแคช (caching) และปรับแต่งประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่ใช้ระบบจัดเก็บแบบแคช Plugin นี้เป็นที่นิยมในการใช้กับเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress หรือระบบจัดการเนื้อหาอื่น ๆ เป็นหนึ่งใน Plugin เพิ่มความเร็วที่แอดมินมองว่าเพิ่มความเร็วได้ค่อนข้างมาก เลยมาแชร์เผื่อเป็นประโยชน์กับทุกท่าน

  1. เพิ่มความเร็วของเว็บไซต์: W3 Total Cache ช่วยลดเวลาโหลดของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดการส่งคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บแคช เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ที่มีการจัดการการโหลดข้อมูลที่หนักและซับซ้อน.

  2. ปรับแต่งแคช: คุณสามารถปรับแต่งการจัดเก็บแคชตามความต้องการของเว็บไซต์ เช่นการเลือกประเภทแคชที่ใช้ การตั้งค่าเวลาหมดอายุของแคช และการสร้างกฎแคชสำหรับหน้าหรือโพสต์ที่เฉพาะเจาะจง

  3. ลดการใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์: การใช้แคชชิ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ นอกจากนี้ มีการอัพเดตให้รองรับ HTTP/2 และ SSL สำหรับความปลอดภัยและความเร็ว

  4. การอัพเดตอัตโนมัติ: ระบบจัดเก็บแคชและการปรับแต่งระบบเป็นการอัพเดตโดยอัตโนมัติ เมื่อเราทำการแก้ไขหรือปรับแต่งเนื้อหาของเว็บไซต์ จึงไม่ต้องทำการรีเซ็ตแคชด้วยตนเอง

  5. รองรับ CDN: W3 Total Cache รองรับการใช้งาน Content Delivery Network (CDN) ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดและลดการใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์

  6. ปรับแต่งสำหรับมืออาชีพ: การ Setting ค่าต่างๆนั้นค่อนข้างง่าย เหมาะกับมือใหม่ แต่ก็ยังคงมีการตั้งค่าอื่นๆมากเพียงพอสำหรับนักพัฒนาระดับสูง

  7. ปรับแต่งความเร็วมือใหม่: ถ้าคุณเป็นมือใหม่มากๆ สามารถใช้ค่าเริ่มต้นของปลั๊กอินได้เลย ก็สามารถทำให้เว็บเร็วขึ้นในระดับนึงเลยทีเดียว

  8. ควบคุมเครื่องมือในแอปพลิเคชันเดียว: ทั้งการจัดเก็บแคชและการปรับแต่งความเร็วเว็บไซต์สามารถควบคุมผ่านหน้าตารางควบคุมเดียว

  9. ฟรีและเวอร์ชั่นเสริม: มีรุ่นฟรีของ W3 Total Cache ให้ใช้งาน แต่ยังมีเวอร์ชั่นเสริมที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์เสริมซึ่งต้องซื้อเพิ่ม

  10. รองรับหลายแหล่งข้อมูล: ทำงานกับหลายแหล่งข้อมูลเช่น Google PageSpeed, Amazon CloudFront, MaxCDN และอื่น ๆ

จากข้อดีเหล่านี้ W3 Total Cache เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ แต่ควรใช้ร่วมกับความระมัดระวังและการตั้งค่าถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำ SEO และการให้บริการให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ. 

 

การติดตั้ง W3 Total Cache สำหรับระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่ใช้ WordPress มีขั้นตอนอย่างง่ายดังนี้:

  1. เข้าสู่ระบบ WordPress:

    • เข้าสู่ระบบเว็บไซต์ WordPress ของคุณด้วยบัญชีผู้ดูแลระบบ (admin).
  2. ติดตั้งปลั๊กอิน W3 Total Cache:

    • ไปที่ “เข้าหลังบ้าน” (WordPress Dashboard) ของเว็บไซต์ของคุณ.
    • คลิกที่ “ปลั๊กอิน” (Plugins) ในเมนูด้านซ้าย.
    • คลิกที่ “เพิ่มปลั๊กอินใหม่” (Add New).
    • ค้นหา “W3 Total Cache” โดยพิมพ์ชื่อปลั๊กอินในกล่องค้นหา.
    • คลิกที่ “ติดตั้งตอนนี้” (Install Now) และรอจนกว่าการติดตั้งจะเสร็จสมบูรณ์.
    • หลังจากนั้นคลิกที่ “เปิดใช้งาน” (Activate) เพื่อเปิดใช้งานปลั๊กอิน.
  3. ปรับแต่ง W3 Total Cache:

    • เมื่อปลั๊กอินเปิดใช้งานแล้ว คุณจะเห็น “Performance” ในเมนูด้านซ้ายของแดชบอร์ดของ WordPress.
    • คลิกที่ “Performance” เพื่อเข้าสู่การตั้งค่า W3 Total Cache.
    • ทำการตั้งค่าตามความต้องการของคุณ ซึ่งรวมถึงการเลือกประเภทแคช, CDN, การบีบอัดหน้าเว็บ, การตั้งค่าแคชสำหรับหน้าหรือโพสต์เฉพาะ, และอื่น ๆ.
  4. บันทึกการตั้งค่า:

    • หลังจากที่คุณตั้งค่าเสร็จแล้ว อย่าลืมคลิกที่ “บันทึกการตั้งค่า” (Save Settings) เพื่อบันทึกการตั้งค่าของคุณ.
  5. ทดสอบเว็บไซต์:

    • หลังจากการตั้งค่า W3 Total Cache คุณควรทดสอบเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบว่าการจัดเก็บแคชและการปรับแต่งได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่ และให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ยังคงทำงานได้อย่างถูกต้องและไม่มีปัญหา หรือ เข้าไปทดสอบที่ https://tools.pingdom.com/ เพื่อเช็ค Score ได้ครับ